ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมี ‘ต้นทุน’ เสมอ แต่ก็ไม่ได้เสมอไปสำหรับคนบางคน
เพราะคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักจะโทษสภาพแวดล้อมและต้นทุนชีวิตอันน้อยนิดที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนั้น แต่คนที่ประสบความสำเร็จกลับเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้เป็นแรงผลักดันไปสู่จุดที่เหนือกว่า
เป็นที่รู้กันว่า ในเส้นทางของอาชีพนักฟุตบอลอาชีพ ขนาดของร่างกายคือปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าทักษะที่มี แต่ใครจะไปเชื่อว่าเด็กชายตัวเล็กๆ ที่มีความสูงเพียง 160 เซนติเมตร จะกลายเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลไทย
ต่อไปนี้เรื่องราวชีวิตของ เมสซี่เจ – ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์ร่างเล็ก ที่สร้างโอกาสในชีวิตจากสิ่งที่ไม่มี สู่ความสำเร็จที่ใครก็ยากจะตามทัน
อุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม
ตัวเล็กมากๆ คือสิ่งแรกที่ใครๆ ก็ต้องสะดุด เมื่อได้พบเจอกับเด็กชายที่ชื่อว่า เจ – ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในสนาม ซึ่งขัดกับคุณสมบัติของการเป็นนักฟุตบอลที่สภาพร่างกายต้องดีเป็นอันดับแรกๆ แต่ด้วยทักษะที่เขามี นั่นคือความคล่องตัวและรวดเร็วกลับกลายเป็นเป็นจุดเด่นที่ทำให้นักเตะร่างจิ๋วคนนี้เป็นที่จับตา เช่นเดียวกับนักเตะระดับตำนานที่มีร่างกายเล็กอย่าง ดีเอโก มาราโดน่า หรือ ลีโอเนล เมสซี่ จนทำให้เจกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมโรงเรียนพณิชยการราชดำเนินให้คว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียนกรมพลศึกษา รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ประเภท ก. ได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเขาถูกปฏิเสธจากโรงเรียนต่างๆ เพราะส่วนสูงที่ด้อยกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน
และด้วยเหตุผลเดิมๆ เรื่องร่างกาย ถึงชื่อของชนาธิปจะเป็นหนึ่งในทีมเยาวชนของสโมสรทีโอที เอสซี กลับถูกปฏิเสธการเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เพราะสโมสรมองว่าเขามีร่างกายที่เล็กเกินไป แต่ด้วยทักษะในการเลี้ยงบอลไปข้างหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม และความกล้าในการเล่นที่ไม่น้อยหน้าใครในสนาม ทำให้โค้ชทีมเยาวชนของบีอีซี เทโรศาสนมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และจับเขาเซ็นสัญญาเข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสร ก่อนที่เจจะตอบแทนความไว้วางใจด้วยการพาทีมเยาวชนมังกรไฟคว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ 2011 ได้สำเร็จ พร้อมทั้งคว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของนัดชิงในฐานะนักเตะที่ตัวเล็กที่สุดในสนามก็ว่าได้
ความฝันบนอกเสื้อ
ดาวเตะร่างเล็กเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ส่วนตัวไม่ได้มีสโมสรในดวงใจที่ตามเชียร์เป็นพิเศษ มีแต่ทีมชาติไทยเท่านั้นที่อยู่ในสายเลือด นั่นจึงทำให้ความฝันสูงสุดของเขาคือการมีธงชาติไทยประดับอยู่บนอกเสื้อสักครั้ง ซึ่งหลังจากที่แจ้งเกิดในทีมเยาวชนของบีอีซี เทโรศาสน ไปสะกิดตาให้ สมชาย ชวยบุญชุม ที่กำลังคุมทัพทีมชาติไทยชุด ยู-19 อยู่ในขณะนั้น เรียกตัวไปติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ด้วยลีลาลากเลื้อยอันเหนือชั้นและที่สำคัญคือการเล่นเป็นทีมเวิร์คร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้เป็นอย่างดี ดาวเตะร่างจิ๋วคนนี้จึงช่วยให้ช้างศึกจูเนียร์สามารถคว้าแชมป์กลุ่มในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชีย 2012 ในรอบคัดเลือกมาครองได้ และเป็นจุดกำเนิดของฉายา ‘เมสซี่เจ’ ที่คนในวงการฟุตบอลไทยและใครๆ ก็ต้องรู้จัก
เพียงไม่นานหลังจากนั้น จากทีมเยาวชนก็ได้รับการโปรโมตขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของบีอีซี เทโรฯ ดาวรุ่งวัย 18 ก็ทำให้แฟนบอลของสโมสรการท่าเรือไทยต้องช็อค จากช็อตเลี้ยงเดี่ยวครึ่งสนามและพาบอลเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย แม้จุดด้อยของเขาเรื่องความสูงและขนาดของร่างกายจะเป็นอุปสรรค แต่เขาก็เลือกที่จะพัฒนาและเปลี่ยนมันให้เป็นประโยชน์ในด้านความเร็วและความคล่องตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองในด้านนี้เลย
รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค กัปตันทีมบีอีซี เทโรฯ ในขณะนั้นเล่าว่า ข้อดีของเจคือเป็นคนที่รับฟังข้อผิดพลาด รู้จักนำไปพัฒนาตนเอง และที่สำคัญคือวินัยในการดูแลร่างกายให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ ทำให้เวลาที่อยู่ในสนาม ยากที่ใครจะขโมยบอลไปจากเท้าของเขาได้ ชื่อของชนาธิปจึงติดธงทีมชาติไทยชุดใหญ่ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่ขาดไม่ได้มานับตั้งแต่นั้น
บทพิสูจน์ของความสำเร็จ
หนึ่งในความฝันของนักเตะไทยทุกคน เมื่อเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง คือการออกเดินทางไปเผชิญความท้าทายยังต่างประเทศ ซึ่งโอกาสที่จะได้ไปนั้นว่ายากแล้ว การจะประสบความสำเร็จในต่างแดนนั้นยากยิ่งกว่า แต่เมสซี่เจได้พิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้ หลังจากที่ย้ายจากบีอีซี เทโรฯ ไปสู่สโมสรแนวหน้าของไทยลีกอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในปี 2559 สปอตไลต์ก็ฉายแสงมาที่ดาวเตะร่างเล็กคนนี้อีกครั้ง เมื่อเขากลายเป็นกำลังสำคัญในการพาเมืองทองฯ คว้าแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 4 จนกลายเป็นใบเบิกทางสำคัญที่ทำให้ คอนซาโดเล ซัปโปโร สโมสรจากเจลีกของญี่ปุ่นได้ติดต่อมาเพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัว ซึ่งสิ่งที่เขาต้องพบเจอก็ไม่พ้นการถูกค่อนขอดว่า รูปร่างแบบนี้ไม่น่าจะเอาตัวรอดได้ในเจลีก
แน่นอนว่า การปรับตัวให้เข้ากับลีกที่ว่ากันว่าดีที่สุดในเอเชียไม่ใช่งานง่าย ในฤดูกาลแรกสิ่งที่นักเตะสัญชาติไทยต้องรับมือคือความกดดันทั้งจากสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม การฝึกซ้อมที่หนัก การแข่งขันภายในทีม และที่สำคัญคือการถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด ทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ทว่าในฤดูกาลถัดมา เมื่อทุกอย่างลงตัว ชนาคุงที่ชาวญี่ปุ่นเรียก ก็ระเบิดฟอร์มทำประตูให้กับทีมได้มากขึ้น โดยลงสนาม 30 นัด ทำได้ถึง 8 ประตู ซึ่งก่อนหน้านั้นการสร้างโอกาสในการทำประตูเคยเป็นจุดอ่อนของเขามาตลอด รวมถึงการสร้างสรรค์เกมผ่านการแอสซิสต์สวยๆ ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากขึ้น ชนาคุงกลายเป็นคีย์แมนสำคัญที่ทำให้ทีมหนีตกชั้นอย่างคอนซาโดเลฯ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์เจลีกได้อย่างไร้ข้อกังขา พร้อมคว้าตำแหน่ง MVP ของสโมสรประจำฤดูกาล 2018 จากผลโหวตของเพื่อนร่วมทีม และยังได้รับการโหวตให้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งเจลีกในฤดูกาล 2018 อีกด้วย
จนถึงวันนี้ แทบไม่มีใครเอ่ยถึงข้อด้อยด้านร่างกายของ เจ – ชนาธิป สรงกระสินธ์ อีกต่อไป มีแต่คำกล่าวขานถึงความแข็งแกร่งและทักษะอันเยี่ยมยอด จากต้นทุนที่แทบไม่มี เขากลับสร้างมันขึ้นมาด้วยสองเท้าของตนเอง มุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ให้อุปสรรคใดๆ มาหยุดได้ จนกลายเป็นแข้งเบอร์ 1 ของไทยที่สร้างปรากฏการณ์ให้วงการฟุตบอลไทยต้องจารึกไว้ตลอดกาล
Source: thematter.co